ตำรับยาสมุนไพร

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หลักการควบคุมโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานหรือเบาหวาน


หลักการควบคุมโรคเบาหวาน

เป็นที่ทราบกันดีว่าการควบคุมโรคเบาหวานที่ดีสามารถลดโรคแทรกซ้อนได้ครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับ ตา [diabetic retinopathy] ไต [diabetic nephropathy] และปลายประสาทอักเสบ [diabetic neuropathy] การควบคุมโรคเบาหวานที่ดี ท่านผู้อ่านต้องรักษาความสมดุลของอาหาร การออกกำลังกาย และยาในการรักษาโรคเบาหวานขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และชนิดของโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยเป็น การรักษาและควบคุมโรคเบาหวานอย่างถูกต้อง อาจช่วยป้องกันอาการโรคแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
เป้าประสงค์ของการรักษาโรคเบาหวาน การควบคุมน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติจะ ทำให้เกิดผลดีหลายประการคือ
  1. สามารถลดโรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น ภาวะคีโตซีส [ diabetic ketoacidosis],ช็อกจากน้ำตาลในเลือดสูง  [hyperosmolar hyperglycemic nonketotic syndrome]
  2. ลดอาการเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูง ตามัว น้ำหนักลด หิวบ่อย เพลีย ช่องคลอดอักเสบ
  3. ลดโรคแทรกซ้อนทาง ตา [diabetic retinopathy]ไต [diabetic nephropathy] ปลายประสาทอักเสบ [neuropathy]
  4. ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแข็ง เช่นทำให้ไขมันในเลือดใกล้เคียงปกติ
แพทย์จะกำหนดว่าผู้ป่วยแต่ละคนที่ดูแลรักษาอยู่ควรจะควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ระดับไขมัน อยู่ในเกณฑ์เท่าใดขึ้นอยู่กับอายุ โรคร่วม พฤติกรรมการดำรงชีวิต ฐานะ  ความร่วมมือตารางข้างล่างจะแสดงระดับเป้าหมายของความดัน น้ำตาล ไขมัน น้ำหนัก ดัชนีมวลกายและความถี่ของการตรวจ
เกณฑ์การควบคุมเบาหวานที่ดี
การตรวจวัด
คนปกติ
เป้าหมาย
ระดับที่ต้องแก้ไข
ความถี่ของการตรวจ
น้ำตาลหลังงดอาหาร 8 ชม.
Fasting blood sugar
<110 p="p">
80-120 (มก%)
<80>140 (มก%)
 ทุกครั้งที่พบแพทย์
น้ำตาลหลังอาหาร 1 ชม.
Post pandrial blood sugar

100-160 (มก%)
<100>160 (มก%)
ตามแพทย์สั่ง
ใช้ในกรณี tight control
น้ำตาลก่อนนอน
Bedtime glucose
<120 p="p">
100-140 (มก%)
<100 or="or">160 (มก%)
ตามแพทย์สั่ง
ใช้ในกรณี tight control
น้ำตาลกลัยโคไซเลสเต็ด
HbA1c
<6 p="p">
<7 p="p">
>8%
เบาหวานควบคุมดีตรวจปีละ 2 ครั้ง 
เบาหวานคุมไม่ดีตรวจปีละ 4 ครั้ง
ความดันโลหิต
120/80
130/85 mmHg
> 130/85 mmHg
วัดทุกครั้งที่พบแพทย์ 
LDL-Cholesterol
<130 p="p">
<100 p="p">
> 100 (มก%)
 ถ้าปกติปีละครั้ง
ถ้าผิดปกติตรวจตามแพทย์สั่ง
HDL-Cholesterol
>45 (มก%)
>45(มก%)
<35 p="p">
 ถ้าปกติปีละครั้ง
ถ้าผิดปกติตรวจตามแพทย์สั่ง
Triglyceride
<200 p="p">
<200 p="p">
>200 (มก%)
 ถ้าปกติปีละครั้ง
ถ้าผิดปกติตรวจตามแพทย์สั่ง
ดัชนีมวลกาย
Body mass index
20-25
20-25
<20 or="or">25
ชั่งน้ำหนักทุกครั้งที่พบแพทย์
ที่ผ่านมายังไม่มีการศึกษาผลการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่สองต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว จนกระทั่ง /ข- ปีที่ผ่านมามีการศึกษาถึงผลการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่2 โดยมีประเด็นว่าการควบคุมเบาหวานแบบเข้มงวด intensive (คุมระดับน้ำตาลโดยให้ HbA1c<6 .5=".5" p="p">
  • ผู้ป่วยที่เริ่มรักษาเบาหวานหลังจากเป็นมาไม่นาน
  • ผู้ป่วยที่มีระดับ HbA1c สูงไม่มาก
  • และยังไม่มีโรคแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและหลอดเลือด
สามกลุ่มดังกล่าวจะต้องคุมเบาหวานให้ดีที่สุดเพราะจะลดการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาวลงได้โดยตั้งเป้า HbA1c<6 .5=".5" mg="mg" p="p">
สำหรับผู้ป่วยดังต่อไปนี้การคุมเบาหวานแบบเข้มงวดจะทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ผู้ป่วยกลุ่ม
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมาในระยะเวลายาวนาน
  • มีประวัติเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
  • มีโรคหลอดเลือดแข็ง
  • สูงอายุหรืออ่อนแอมาก
องค์ประกอบการรักษา
การรักษาเบาหวานให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้นต้องอาศัยองค์ประกอบดังนี้
  1. การเปลี่ยนพฤติกรรม
  2. ยารักษาเบาหวาน
  3. การประเมินการรักษา

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ประโยชน์จากฟักทอง



หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ
ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง"
สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง"
จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว
ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก
"ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง"
มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ


ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ
เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ
"ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ


เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม
วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน"
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง

สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้
แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง
บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี


เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก
จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย
ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต
บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป
ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง
แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ


ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน
รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine)
ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ
ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้

น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี
และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น
และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ


ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย
ถอนพิษของฝิ่นได้


เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้




















ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ
"ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก
และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน

นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง
จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล
แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก


นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น
จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ
แก้ปวดได้อีกด้วย


ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน"
คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก
เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป

เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ
การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
ไม่สบายท้องได้เช่นกัน


เมื่อได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ



ป้ายกำกับ: ,

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ไทย ฟรีแวร์ โปรแกรม ดาวน์โหลด โหลดฟรี: Wondershare Flash Gallery Factory Ver. 4.8.2.7

ไทย ฟรีแวร์ โปรแกรม ดาวน์โหลด โหลดฟรี: Wondershare Flash Gallery Factory Ver. 4.8.2.7

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกระเทียม


ป้องกันโรคหัวใจรับประทานวันละ 1 กลีบ และโดยทั่วไป ก็แนะนำให้รับประทานกระเทียมเป็นประจำทุกวันแล้วแต่ปริมาณที่คุณชอบ กระเทียมช่วยลดคลอเลสเตอรอล มีฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินในการช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกับยาเพ็นนิซิลิน โดยเฉพาะเวลาที่เจ็บคอ สามารถใช้กระเทียมรักษาได้ดี และยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมอีกด้วยการ

ป้ายกำกับ: , , ,

ต้านมะเร้งเต้านมด้วยกะหล่ำปลี


ตอนเด็กๆผมมักโดนเพื่อนพูดกลอกหูอยู่ด้วยความเชื่อของเด็กว่ากินกะหล่ำปลีจะทำให้เป็นมะเร็ง ผมจึงขยาดกลัวเวลากินใส้กรอกย่าง พอโตมาได้รับรู้ความจริงว่ามันมีประโยชน์ ว่ามันช่วยลดความเสี่ยงของผู้หญิงจากมะเร็งเต้านมได้ บทความทางสุขภาพจากหนังสือลิซ่ามีลงข้อความการวิจัยของนักระบาดวิทยา โดโรธี ไรเบซิก พาเท็ก ตั้งข้อสังเกตว่าผู้หญิงในโปแลนด์บริโภคกะหล่ำปลีมากกว่าอเมริกาสามเท่า และมีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านมต่ำกว่าถึงหนึ่งในสาม จากผลการวิจัยพบอีกว่า การกิินกะหล่ำปลีสามส่วนต่อสัปดาห์ มีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะเป็นโรคมะเร็งนี้ ในกะหล่ำปลีมีคุึณสมบัติในด้านการต้านมะเร็ง แต่การกินกะหล่ำปลีในช่วงวัยหนุ่มสาวให้ผลดีที่สุด สาวๆอ่้านลองนำไปใช้ เพราะสามารถลดความเสี่ยงจากโรคนี้ลงอย่างมีนัยสำคัญ

ป้ายกำกับ: , , , ,

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ช่วยเข่าเสื่อมด้วยโหระพา


อาหารจานเด็ดที่พวกเราคุ้นเคยกันดี คงจะขาดไปไม่ได้ที่จะใส่โหระพา ประโยชน์ของโหระพาที่ไม่ค่อยทราบ มีสรรพคุณช่วยย่อย ขับลม แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง แต่ที่ผมนำมาอวดวันนี้ ก็คือมันสามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม วิธีง่ายๆ คือ ขุดโหระพามาทั้งต้น ไม่ต้องตัดรากทิ้ง เอาไปล้างให้สะอาดแล้วนำมาตำจนละเอียด ผสมเหล้าขาว 40 ดีกรีลงไป จากนั้นนำไปตั้งไฟจนร้อน (แต่ไม่ต้องให้เดือด) เพื่อฆ่าเชื้อและรีดยางของมันออกมา ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาประคบหัวเข่านาน 10-15 นาที ทำวันล่ะ 1-2 ครั้งไม่นานหัวเข่าของคุณที่ปวดจะดีขึ้น ลุกขึ้นเดินได้อย่างสบาย

ป้ายกำกับ: ,

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552